“แม่กลัวตายมั้ย”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันแอบถามตอนแม่เผลอ
ฉันชอบหาจังหวะถามในเวลาที่แม่นั่งฟังฉันเล่าอะไรเพลิน ๆ แล้วตั้งคำถาม จนมันกลายเป็นคำทักทายกันในทุกครั้งที่กลับมาบ้าน มาหาแม่
แม่เป็นคนพูดน้อยถึงน้อยที่สุด ถ้าไม่ใช่คำถามที่ต้องตัดสินใจ แม่จะส่งยิ้มแทนคำตอบ ไม่ว่าจะได้หรือไม่ได้ เอาหรือไม่เอา แล้วถ้าจำเป็นต้องปฏิเสธจริงๆ แม่ก็แค่ร้อง อึ้ย!
เรื่องเดียวที่แม่จะพูดได้เป็นเรื่องราว น่าจะเป็นเรื่องเล่าถึงพ่อ
ฉันชอบฟังแม่พูดถึงพ่อ มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนฉันกลับถึงบ้านแล้ว กลับมาเป็นลูกของแม่อีกครั้ง
”แม่เจอเตี่ยได้ไง”
“เตี่ยเค้ามาบนหลวงพ่อศักสิทธิ์ที่หนองตาโล่กับเพื่อนๆขอให้ไม่ติดทหาร”
รอยยิ้มเขิน ๆ พร้อมน้ำเสียงกังวานใส
แม่บอกว่า “วันนั้นเตี่ยมากับเพื่อนสี่ห้าคน พอไหว้พระเสร็จก็เข้ามาเที่ยววัดระโสม”
“มาส่องสาว” แม่อมยิ้มแล้วพูดต่อ
พ่อฉันเป็นหนุ่มบางกอก เป็นช่างไม้ ส่วนแม่เป็นสาวเมืองม้าภาชี ที่เติบโตมากับเถียงนาปลูกข้าว แล้วก็คอยเป็นลูกมือสับฟืน หาบน้ำ ล้างขวดเปล่าเอาไว้กลั่นเหล้าข้าวเหนียวที่ลักลอบขายกันเองในหมู่บ้าน
ถ้าดูจากรูปเก่าของพ่อ พ่อฉันเป็นหนุ่มเชื้อสายจีนหน้าตาหล่อเหลา มีความเป็นคนบางกอกยุค’60 เท่เตะตาอยู่ไม่น้อยเลย
แม่เล่าว่า วันนั้นพ่อใส่เสื้อโปโลลายสก๊อตต์ เก็บปลายเข้าในกางเกงขาบาน รองเท้าหนังสีดำขัดมัน ไว้ผมแสกไปทางซ้าย ใส่แว่นตาแฟชั่นสีดำสนิท
หลังจากได้เจอแม่ในวันนั้น พ่อก็เลยได้แวะเวียนมาเที่ยวหาอยู่บ่อย ๆ พ่อไปมาหาสู่นานเป็นปี กว่าตากับยายของฉันจะอนุญาตให้ออกเรือนได้
ฉันเป็นพี่สาวคนโต
เป็นลูกคนที่สองในจำนวนหกคน
พี่น้องทุกคนยังอยู่ในรั้วบ้านเดียวกันกับแม่ มีฉันคนเดียวที่เป็นเหมือนจะเป็นแกะดำของครอบครัว ออกไปโตอยู่บ้านเพื่อน
ความผูกพันระหว่างฉันกับที่บ้านมักจะส่งผ่านทางเงินเดือน หรือไม่ก็เพียงบางครั้งบางคราวที่จะชวนกันออกไปกินข้าวนอกบ้าน
“แม่กลัวตายมั้ย”
ในสถานการณ์เช่นทุกวันนี้มันอาจเป็นคำถามธรรมดาไปเสียแล้ว แต่กว่าจะตั้งคำถามแบบนี้กับแม่ของตนเองได้ ฉันต้องรวบรวมความกล้าอย่างหนึ่งทีเดียว
ผู้หญิงอายุแปดสิบสอง เดินเหินได้ด้วยยาลดความดันกับยาลดไขมันในเลือดมานานปี ผู้หญิงที่ไม่เหลือความต้องการใดๆ ให้กับตัวเองนอกจากความอยากเจอลูกทุกคนอยู่พร้อมหน้ากัน ได้ตั้งวงเล่นไพ่ผสมสิบพร้อมกับส่งเสียงโหวกโวย หัวเราะลั่นไปด้วยกัน
ครั้งแรกที่ถูกถามว่ากลัวตายมั้ย แม่แค่ตอบยิ้ม ๆ ว่า “ไม่กลัวตาย แต่กลัวเจ็บ” ฉันให้ในคำตอบของแม่
รอยยิ้มของแม่ที่บอกว่าไม่กลัวตาย ไม่ได้ออกมาจากความท้าทาย หรือจากความกดดันใดๆ
แต่เป็นน้ำเสียงที่เรียบ นุ่ม ส่งทอดมากับสายตาของความอ่อนน้อมถ่อมตนของเจ้าของคำตอบ
หัวใจคนเป็นลูกอย่างฉัน เบิกบานขึ้นมาทันทีที่ได้ยินว่าแม่ ‘ไม่กลัวตาย
“แม่ไม่ต้องกลัวเจ็บนะ เพราะ…มันเจ็บแน่นอน” ฉันยังเล่นบทโหดต่อไป
“เพราะฉะนั้นแม่ต้องดูแลตัวเองทั้งเรื่องกิน กับการขยับตัวไปมาตอนที่ยังทำได้ แม่จะได้ไม่ถูกจำกัดการเคลื่อนไหว หรืออย่างน้อยก็ช่วยให้เจ็บน้อยลง”
แม่เงียบ ไม่มีรอยยิ้ม
“เจ๊หมวยออกกำลังกายแทนแม่ไม่ได้นะ ถ้าแม่ไม่ดูแลตัวเองตอนที่ยังทำได้ ข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวของแม่ก็ยิ่งน้อยลงไปทุกวัน พอถึงตอนนั้น ต่อให้เจ๊หมวยมีเงินมากพอที่จะหารถเข็นอย่างดีมาพาแม่ไปเที่ยวในที่ที่แม่อยากไป หรือหาของกินที่แม่อยากกิน แม่ก็จะไม่พอใจเท่ากับการได้เข้าครัว หรือไปไหนมาไหนด้วยขาของแม่เองนะ” ฉันรุกต่อ
แม่ยิ้มที่มุมปาก
แน่นอนไม่ใช่รอยยิ้มชื่นบาน แต่เป็นรอยยิ้มของเด็กน้อยที่ถูกจับได้ว่าเกเร ไม่ยอมทำการบ้าน
ก่อนจากกัน ฉันขึ้นไปจุดธูปไหว้เตี่ย แล้วลงมากอดลาแม่เหมือนเคย
ฉันกอดแม่ไม่อยากปล่อย
ระหว่างเราสองคน
ใครกันแน่ที่อาจจะไม่มีพรุ่งนี้
กฏธรรมชาติอันนี้ฉันรู้ซึ้งดี
“แม่แม่ฟังนะ”
“พอถึงเวลาที่แม่เริ่มเคลื่อนไหวไม่ได้อย่างเดิมแล้วก็ไม่ว่าจะยาวนานแค่ไหนเจ๊หมวยจะมาอยู่กับแม่แล้วแม่อย่าได้คิดว่าแม่เป็นภาระนะเพราะเจ๊หมวยไม่ได้ทำเพราะ..จำเป็นต้องทำแต่เจ๊หมวยทำเพราะ..อยากทำ”
แม่ยิ้มตารื้น ยอมรับ
ถึงแม้รอยยิ้มที่แม่ส่งมาให้ มันจะไม่ได้ลดความกลัว ว่าฉันจะต้องเสียแม่ไป
แต่อย่างน้อยเราก็เข้าใจตรงกันว่า ถ้าเหตุการณ์มันกระทันหันจนไม่มีโอกาสได้ทำอย่างที่ฉันตั้งใจไว้ ด้วยเหตุของความห่างไกล หรืออุปสรรคที่คาดเดาไม่ได้อย่างอื่น ฉันก็อยากให้แม่รู้ไว้ว่า ตอนนี้เราได้สั่งเสียร่ำลากันเรียบร้อยแล้ว
ถึงตอนนี้
ฉันคิดว่าแม่คงไม่กลัวตายแล้ว
คงมีแต่ฉันที่กลัวแม่ตาย