เคยอ่านนิทานธรรมของพระไพศาล วิสาโล เรื่องหนึ่ง
เป็นเรื่องของอาจารย์วิษณุ ที่ไม่ใช่”เครืองาม”
อาจารย์วิษณุมีลูกศิษย์อยู่หลายคน. แต่ที่เด่นที่สุดมี 2 คน
คือ “ชัย”และ”จิต”
อาจารย์วิษณุแสดงท่าทีชื่นชอบ”จิต”มากกว่าจนทำให้”ชัย”น้อยใจ
อาจารย์วิษณุแลเห็นแต่ก็ไม่อธิบายอะไร
วันหนึ่ง เขาเรียกลูกศิษย์ทั้งสองมาหาแล้วพาไปดูห้องที่ว่างเปล่า 2 ห้อง
อาจารย์วิษณุมอบเหรียญ 1 รูปีและบอกให้ทั้ง 2 คนทำให้ห้องของตัวเองเต็มที่สุดภายในเย็นนี้
ไม่มีคำอธิบายอะไรเพิ่มเติม
ทิ้งเป็นปริศนาธรรมให้”ชัย”และ”จิต”ตีความเอง
“ชัย”รีบไปตลาด. พยายามหาซื้ออะไรที่มาเติมเต็มห้องเปล่า
แต่ 1 รูปีมีค่าน้อยเกินไป
ซื้ออะไรก็ได้นิดหน่อย
มีเพียงแค่”ขยะ”เท่านั้นที่แทบจะไม่มีราคา
เมื่อโจทย์ของอาจารย์ไม่ได้บอกว่า”ของ”ที่ใส่ให้เต็มนั้นต้องมีสิ่งของที่มีค่า
“ขยะ”ก็เป็นของอย่างหนึ่ง
ในที่สุดเขาก็ใช้เงิน 1 รูปีซื้อ”ขยะ”กองใหญ่ไปวางในห้องจนเต็ม
“ชัย”ภูมิใจในผลงานของเขามาก
ส่วน”จิต”นั้นใช้เวลาในการนั่งคิด. ก่อนที่จะไปตลาด
สิ่งที่เขาเลือกซื้อไม่มีสิ่งของที่มี”ปริมาณ”มากมาย
“จิต”ซื้อไม้ขีดไฟ ธูป และประทีป
พอถึงเวลาเย็นเขาก็จุดธูปและประทีป
อาจารย์วิษณุเริ่มตรวจงานห้องของ”ชัย”ก่อน
พอเปิดประตู. กลิ่นของ”ขยะ”ก็เหม็นตลบอบอวล
เขาเดินไปที่ห้องของ”จิต”
ในห้องไม่มีสิ่งของอะไรเลย
มีเพียงธูปและเทียนที่จุดไฟไว้แล้ว
แต่กลิ่นหอมของธูปและความสว่างไสวของประทีปกลับเติมเต็มให้กับห้องนั้น
แม้จะจับต้องไม่ได้เหมือนวัตถุ
แต่กลิ่นสัมผัสและความสว่างในห้องทำให้ห้องนั้นเต็มไปด้วยความสุข
วินาทีนั้น”ชัย”เข้าใจแล้วว่าทำไมอาจารย์วิษณุจึงชื่นชม”จิต”มากกว่า
ทั้งคู่ทำตามโจทย์ที่อาจารย์ให้มาสำเร็จเหมือนกัน
แต่”ความรู้สึก”ต่อสิ่งที่เติมเต็มนั้นแตกต่างกัน
“พระไพศาล”บอกว่านิทานเรื่องนี้ไม่ได้สรุปว่าใครฉลาดกว่าใคร
เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิดของคน
ห้องที่ว่างเปล่าเหมือนกับชีวิตของเรา
เงิน 1 รูปีก็เปรียบเสมือน”เวลา”ที่น้อยนิด
ใครจะใช้”เวลา”ได้มีคุณค่ามากกว่ากัน
บางคนเลือกสะสม”วัตถุ”ให้มากที่สุด
เติมเต็มให้”ห้อง”หรือ”ชีวิต”
แต่บางคนก็เลือกสิ่งที่งดงาม หรือสิ่งที่มีคุณค่าและความหมาย
“กลิ่นหอมเป็นสัญลักษณ์ของคุณงามความคิด ส่วนแสงสว่างเป็นสัญลักษณ์ของปัญญา. สองอย่างนี้ต่างหากที่ทำให้ชีวิตงดงามและมีคุณค่าอย่างแท้จริง”
“พระไพศาล”สรุปในข้อเขียนชิ้นนี้
คุณธรรมและปัญญา
สิ่งเหล่านี้คือ”นามธรรม”
มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง
การตั้ง”คำถาม”กับชีวิตว่า”ความสุข”แท้จริงของเราอยู่ที่ไหน
บางที”คำตอบ”ก็ไม่ใช่สิ่งที่เรามองเห็น
วันก่อนผมเพิ่งดูหนังญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งใน”เน็ตฟลิกซ์”
จำชื่อเรื่องไม่ได้
เป็นเรื่องของ”ซามูไร”คนหนึ่งที่ถูกตามล่าเพราะไปฆ่าเจ้านายของตัวเอง
เหตุเพราะเจ้านายหลอกให้เขาไปฆ่าคนๆหนึ่งโดยหาว่าคนนั้นทุจริต
แต่มารู้ว่าคนที่ทุจริตคือเจ้านายของเขาเอง
พระเอกจึงตัดสินใจฆ่าเจ้านายและคนคุ้มกันทั้งหมด
วันที่เขาถูกตามล่าและโดนฟันจนใกล้จะเสียชีวิต
มีหญิงชราคนหนึ่งมอบความเป็นอมตะให้กับเขาด้วยการใส่ตัวหนอนที่จะชุบชีวิตให้กับพระเอก
โดนฟันหรือแทงเมื่อไร “หนอน”ก็จะสมานแผลให้
มือขาด-แขนขาด “หนอน”ก็จะเชื่อมอวัยวะที่ขาดให้ติดกันจนเป็นปกติ
ดังนั้น ไม่ว่าจะโดนฟันเท่าไรก็ไม่ตาย
พระเอกมีชีวิตยาวนานต่อไปอีก 50 ปี
ในขณะที่คนทั่วไปเรียกร้องความเป็นอมตะ
ไม่อยากตาย
แต่สำหรับพระเอก”ความทุกข์”ที่สุดของเขา คือ อยากตายแต่ก็ไม่ตาย
เพราะความเหงาและโดดเดี่ยวทรมาณมากกว่า”ความตาย”
จนวันหนึ่งมีเด็กหญิงมีขอความช่วยเหลือ ให้ปกป้องและช่วยแก้แค้นที่พ่อของเธอถูกสังหาร
หน้าของเด็กหญิงคนนี้คล้ายกับน้องสาวของเขา
เรื่องราวก็ดำเนินไปเรื่อยๆตามแบบหนังบู๊ทั่วไป
เขาเริ่มผูกพันกับเด็กผู้หญิงคนนี้มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
จนถึงช่วงท้ายที่เขาจะไปช่วยเด็กน้อย
มือของพระเอกโดนฟันขาด
ผู้ร้ายก็เดินย่างขุมเข้ามา
“หนอน”ที่เคยช่วยสมานอวัยวะที่ขาดให้กลับคืนสู่สภาพเดิมเริ่มหมดประสิทธิภาพ
เชื่อมประสานได้ช้าลง
วินาทีที่เขาเร่งเจ้าหนอนให้ช่วยเชื่อมมือกับแขนให้เป็นปกติ
หญิงชราคนนั้นก็มานั่งใกล้ๆแล้วตั้งคำถามว่า”ไหนว่าอยากจะตาย”
เป็น”คำถาม”ที่มาถูกที่ถูกเวลาอย่างยิ่ง
คนที่เคยอยากตายแต่ไม่ตาย
แต่ในวินาทีนั้นที่”ความตาย”เข้ามาใกล้
เขาน่าจะดีใจ
แต่ทำไมเขาเลือกปฏิเสธ
และดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่
คำตอบ ก็คือ สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว
จากคนที่โดดเดี่ยว เปลี่ยวเหงาและใช้ชีวิตไปวันๆ
วันนี้เด็กผู้หญิงคนนั้นได้สร้างสายใยแห่งความผูกพันขึ้นในใจเขา
เมื่อมีคนที่เราเป็นห่วง
เมื่อมีคนที่รักเรา
“ความตาย”ที่เคยโหยหา
ก็กลายเป็นสิ่งที่เขาดิ้นรนวิ่งหนี
เพราะ”ชีวิต”วันนี้ของเขามี”ความหมาย”แล้ว
ด้วยสายใยแห่ง”ความรัก”(เคยตีพิมพ์ในหนังสือ”เพราะฉะนั้น ฉันจึงถาม”)
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ค่ะ
ความคิด.. สะท้อนคุณธรรมและปัญญา
สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้วอ่านง่ายเจ้าใจง่ายสไตล์หนุ่มเมืองจันท์ ชอบค่ะ