เมื่อเช้าวันก่อน เจ้าค้างคาวหน้าอ่อนตัวหนึ่งเผลอละเมอตีนหลุดจากกิ่งไม้ลงมากลิ้งอยู่บนตัวราชสีห์ขี้โมโหที่กำลังหลับฝันดี
ราชสีห์ตกใจตื่น ตะปบเจ้าค้างคาวไว้หมายจะทำโทษด้วยการเคี้ยวเล่นเป็นอาหารว่าง
เจ้าค้างคาวอ้อนวอนร้องขอชีวิต พร้อมเสนอเงื่อนไขจะกลับมาช่วยในวันหน้าถ้าราชสีห์มีภัย
ราชสีห์หัวเราะน้ำลายย้อยยอมปล่อยเจ้าค้างคาวไป เพราะจำเรื่องราวที่เจ้าป่าคนก่อนเคยสอนอยู่ เรื่องหนูที่กลับมาตอบแทนคุณ
ราชสีห์ขี้โมโห หัวใจพองโต เดินกระหยิ่มเชิดหน้าย่างเท้าเข้าป่าอย่างลืมระวัง พลั้งเผลอติดบ่วงนายพรานเหมือนราชสีห์ในนิทานอีสป
ราชสีห์ขี้โมโหกลายเป็นสิงโตกลัวตายร้องโวยวายลั่นป่า
ค้างคาวน้อยจำเสียงร้องได้รีบบินมาช่วยในเวลาไม่นาน
“เสียใจด้วยนะท่าน” เจ้าค้างคาวทำหน้าเศร้า กล่าวออกมาเมื่อเห็นราชสีห์ดิ้นทุรนทุรายในบ่วงเชือก
“เสียใจเรื่องอะไร อย่าบอกนะว่าเจ้าแทะเชือกนี้ไม่ได้…”
“เชือกมันเส้นหนาเกินกว่าฟันของข้าจะกัดขาด” ราชสีห์ค่อยๆสงบลง มันพอจะเดาได้ว่าเหตุการณ์ต้องเป็นแบบนี้ มีแต่หนูในนิทานเท่านั้นแหละที่แทะเชือกนายพรานขาด
นี่มันคือโลกความจริง สิงโตป่าตัวหนึ่งกำลังจะถูกจับถลกหนังเพื่อทำพรมเช็ดเท้า
ราชสีห์หลับตานอนรอความตาย
“ข้าอยากตอบแทนบุญคุณท่านจริงๆ” ค้างคาวน้อยพูดไปกัดแทะเชือกไป
“ไม่มีประโยชน์หรอก สัตว์เล็กอย่างเจ้าไม่มีทางช่วยข้าได้หรอก”
“อย่าพูดยังงี้สิท่าน บรรพบุรุษท่านไม่เคยสอนเหรอ ว่าอย่าดูถูกผู้ที่ด้อยกว่า”
“ข้าไม่ได้ดูถูก ข้าแค่ยอมรับความจริง เจ้าไปซะเถอะ เดี๋ยวนายพรานก็คงมาแล้ว”
“ใช่! นายพราน…อย่างน้อยข้าก็สามารถถ่วงเวลาไม่ให้นายพรานมาที่นี่ได้”
“เจ้าจะทำยังไง”
“ข้าจะไปขอร้องอ้อนวอน เหมือนตอนที่ข้าอ้อนวอนท่านไง
เจ้าค้างคาวรีบกระพือปีกพุ่งตรงไปยังบ้านของนายพรานที่ปากทางเข้าป่า
ฝ่ายราชสีห์ก็พบว่า เมื่อมันไม่ดิ้นมากบ่วงเชือกก็ไม่รัดแน่น ทำให้พอจะเอาอุ้งมือปัดเชือกออกได้ ขอแค่ค่อยๆทำไปทีละเปาะๆ ทำให้หลุดทันก่อนนายพรานจะมาก็แล้วกัน
ราชสีห์ค่อยๆแกะบ่วงเชือกด้วยตัวเองอย่างใจเย็นจนมืดค่ำ…จนรุ่งเช้าวันใหม่และผ่านไปอีกหลายๆวัน นายพรานก็ยังไม่มาสักที
หรือเจ้าค้างคาวจะอ้อนวอนนายพรานได้สำเร็จ…
ความจริงคือ หลังจากเจ้าค้างคาวบินมาถึงบ้านนายพราน มันเหนื่อยและหิวมาก มันเผลอกินกล้วยที่นายพรานห้อยอยู่ตรงบันไดไปหนึ่งคำ ก่อนนายพรานจะออกมาไล่แล้วกินกล้วยต่อจากมัน หลังจากนั้นนายพรานก็ป่วย พอนายพรานป่วย เมียนายพรานก็ป่วยด้วย
จนเมียนายพรานไปซื้อกับข้าวที่ตลาด ทำให้แม่ค้าและคนที่มาตลาดวันนั้นป่วยตาม
จากป่วยทั้งตลาดก็แพร่กระจายเป็นป่วยทั้งตำบล อำเภอ และจังหวัดในที่สุด
ราชสีห์หลุดจากบ่วงเชือกได้ด้วยตัวเอง ก็เข้าป่ากลับไปหาครอบครัว
ป่ากลับมาอุดมสมบูรณ์ อากาศสะอาดน้ำใส ไม่มีใครเผาป่า ไม่มีควันพิษจากยานพาหนะ เพียงแค่มนุษย์ป่วยกันหมดนั่นเอง
นิทานเรื่องนี้จึงกลับมาสอนให้รู้ว่า ว่า‘อย่าดูถูกผู้ที่ด้อยกว่า’ อย่างเช่นเชื้อโรคที่อยู่ในน้ำลายของเจ้าค้างคาว…
อ่านสนุกได้ข้อคิดดีมากค่ะ
เข้ากับสถานการณ์ตอนนี้มาก💙