“แปลกแยก”
เท่าที่จำได้ ความรู้สึกแปลกแยกนี้เคยเกิดขึ้นกับฉันอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อตอนกลับมาทำงานในเมืองไทย ฉันรู้สึกเข้าไม่ได้กับวัฒนธรรมในที่ทำงาน แบบมือป้องปาก กระซิบกระซาบขณะที่บุคคลที่กำลังถูกพูดถึงเดินลับตาไป หรือการที่มีพวกมีพ้อง มีเส้นสาย เธอเป็นใครมาจากไหน เป็นเด็กใคร ทำไมถึงได้มาทำงานที่นี่ ติฉินนินทา การกลั่นแกล้ง ฉันคิดว่าพวกเขาดูละครมากไป หรือแท้จริงแล้วละครเอาชีวิตจริงของพวกเขาไปเล่น
หรือเราผิดปกติ? ที่ไม่สามารถแสดงบทบาทแบบนั้นกับพวกเขาได้
ความรู้สึกแปลกแยกหายไปเมื่อย้ายที่ทำงาน
จนมาตอนนี้ ฉันรู้สึกแปลกแยกอีกครั้งกับครอบครัวของสามีในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น ค่านิยม การใช้ชีวิต ทัศนคติ ในตอนแรกฉันคิดว่าน่าจะปรับตัวได้ แต่สุดท้ายแล้วอะไรที่ไม่ใช่ ก็ไม่ใช่อยู่ดี ครั้นจะลาออกไปสมัครอยู่กับครอบครัวอื่นก็ไม่ได้ เพราะดันมีลูกสาวแสนน่ารักเป็นโซ่ทองคล้องใจด้วยกันอยู่หนึ่งคน
ปัญหาครอบครัวในวัยเด็ก จนมาถึงปัญหากับครอบครัวสามี ฉันไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ค่อยๆฆ่าตัวตนของฉันไปทีละเล็กละน้อย
ปมวัยเด็กที่ไม่เคยได้รับการแก้ไข ทำได้แค่เพียงปล่อยให้เวลาและระยะทางเยียวยาจิตใจ…
เวลา…
ใครนะเป็นคนบอกว่าเวลาจะรักษาทุกสิ่ง มันช่างห่างไกลจากความเป็นจริง เวลาไม่เคยเยียวยาหัวใจ เราแค่เพียงใช้เวลากลบเกลื่อนตัวตนที่บอบช้ำ ตัวตนที่ไม่เคยได้รับการดูแล ผ่านลมผ่านฝน ผ่านร้อนผ่านหนาว เราแสร้งทำเป็นลืม
ระยะทาง…
เมื่อฉันเรียนจบ ฉันดิ้นรนทำทุกอย่างเพื่อไปไกลๆ จากพ่อและแม่ ฉันรักแม่…แต่การอยู่ใกล้แม่นั้นกลับทำให้ฉันทุกข์ใจ เพราะอคติ ความโกรธ ความเกลียดของแม่ที่มีต่อพ่อ ฉันไม่สามารถพูดว่ารักพ่อได้เต็มปาก
ฉันไม่รู้ว่าภาพของฉันที่มีต่อพ่อนั้นเกิดจากอคติของแม่หรือไม่ ไม่มากก็น้อย เพราะฉันรักแม่ สงสารแม่
ภาพความทรงจำอันรุนแรงในบ้านที่เกิดขึ้น และจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แม่ได้ทำให้ฉันเข้าข้างแม่ เป็นพวกแม่ และโยนความผิดทั้งหมดไปให้พ่อเสียแล้ว
ตอนนั้นฉันยังเด็กเกินไปที่จะรู้ว่ามันเกิดอะไรกันขึ้น เหตุการณ์ตอนนั้นเท่าที่จำได้ คือฉันเข้าไปซ่อนในตู้เสื้อผ้า ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว และคนที่เปิดมาเจอฉันคือเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้าม!!
ฉันไม่อยากเกลียด เพราะยิ่งมีความเกลียดมากเท่าใด ความเกลียดนั้นมันกัดกร่อนจิตใจฉันเอง โดยเฉพาะกับ”พ่อ”คนที่ฉันควรจะรัก
ตอนเรียนจบมหาวิทยาลัย ฉันปฏิเสธการเข้าร่วมงานรับปริญญาเพราะไม่ต้องการความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่ต้องเจอพ่อกับแม่พร้อมกัน มันฝังใจมาตลอดว่าการที่ฉันยังอยู่ตรงนี้ มันเลี่ยงไม่ได้ที่ตัวฉันยังคงเชื่อมโยงบุคคลทั้งสองเข้ามา
เมื่อเรียนจบแล้วเดินทางไปทำงานต่างประเทศ ระยะทางกับเวลานานหลายปีช่วยทำให้ฉันหนีความเป็นจริงไปได้ระยะหนึ่ง
เวลาที่ฉันอยู่คนเดียวในห้อง เอนตัวลงหลับตาพักผ่อน ฉันมักนึกเสมอว่าถ้าจะจบวงจรอุบาทว์นี้ คือจะต้องมีใครคนใดคนหนึ่งจากไปตลอดกาล พ่อ-แม่-ลูก
สิ่งที่ฉันไม่ชอบ ไม่อยากเจอ สิ่งที่ฉันหลีกหนีมาตลอดในวัยเด็ก ก็คือพ่อของฉัน ฉันอยากรู้สึกรักพ่อได้บ้าง การที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันนั้นคงดีกว่า ฉันเลือกที่จะอยู่กับแม่ และปิดปากสนิทเรื่องพ่อ
แต่ก็นั่นแหละ เหมือนโจทก์ในชีวิตมักตามมาหลอนเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ฉันรู้สึกถึงพลังงานของพ่อได้ในตัวพ่อสามี ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่านี่เป็นโคลนนิ่งของกันและกันหรือเปล่า
คนแบบนี้ที่ฉันหนีมาตลอดชีวิตดันมาเป็นพ่อของสามี แล้วเลี่ยงไม่เจอก็ไม่ได้ ฉันเริ่มต้นหาทางออกด้วยการหนีอีกครั้ง หนีทางกายไม่ได้ ก็ถอดจิตหนี ใช้วิธีแบบนี้ซ้ำๆ จนวันหนึ่งจิตหลุดลอยไปจริงๆ วันนั้นเป็นวันตายของฉัน วันที่ 26 ตุลาคม 2560 ฉันจำได้แม่นยำ เพราะหูของฉันได้ยินเสียงน้องชายคนเล็กของสามีเรียกให้ไปดูพระราชพิธีถวายพระเพลิง ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทางทีวี แต่ร่างของฉันแข็งทื่อ หนักอึ้ง ฉันลุกไม่ไหว ฉันมองเห็นแค่ฝ้าเพดานสีขาวของบ้าน บ้านที่ไม่ว่าจะไปเยือนกี่ครั้งก็รู้สึกว่าไม่ใช่ที่ทางของฉัน…
ช่างแปลกแยกนัก
ยิ่งหนี ยิ่งเจอ
ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้ฉันยอมรับว่าฉันก็ยังคงใช้วิธีหนีอยู่ หากหนีไม่ได้ก็เลี่ยง เลี่ยงไม่ได้ก็หลบ หลบไม่ได้ก็ปะทะ ปะทะเสร็จกลับมาซ่อมตัวเองทุกครั้ง ชีวิตตอนนี้มีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่บั่นทอนจิตใจ ฉันไม่รู้ว่ามันต้องใช้เวลาหรือการเปลี่ยนแปลงตัวเองมากแค่ไหนที่จะก้าวข้ามปมของฉันไปได้
หลังจากใช้เวลาตอบคำถามต่างๆ จนมาถึงตอนนี้ ฉันเห็นแล้วว่า ที่ฉันรู้สึกรุนแรงกับคนแบบพ่อ…ก็เพราะฉันมีของเหล่านั้นอยู่ในตัว
และความจริงที่น่าเศร้าก็คือฉันคงไม่มีวันที่จะหนีจากตัวเองพ้น นอกจากจะยอมรับและโอบกอดความเกลียดนี้ เท่าที่ฉันรู้ตอนนี้คือ ฉัน…ยัง”ทำไม่ได้
ชอบค่ะ